น้ำยาแอร์มีกี่ประเภท? เลือกใช้อย่างไรให้ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม | TIGCS

น้ำยาแอร์มีกี่ประเภท? เลือกใช้อย่างไรให้ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

น้ำยาแอร์ หรือสารทำความเย็น เป็นหัวใจสำคัญของระบบเครื่องปรับอากาศ ทำหน้าที่ดูดซับและถ่ายเทความร้อนออกจากห้อง ช่วยให้เราได้รับความเย็นสบาย น้ำยาแอร์จะหมุนเวียนอยู่ในระบบแบบปิด โดยเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นไอและกลับมาเป็นของเหลวอีกครั้งในแต่ละรอบการทำงาน


สารทำความเย็นมีกี่ประเภท

1.CFCs (Chlorofluorocarbons)
หยุดใช้อย่างเป็นทางการแล้ว เป็นน้ำยาแอร์ยุคแรกที่เคยใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่งผลเสียต่อชั้นโอโซนในระดับรุนแรง (ODP สูงมาก) ปัจจุบันเลิกใช้แล้วตามพิธีสารมอนทรีออล
ตัวอย่างน้ำยาแอร์:
R11: ใช้ในระบบปรับอากาศเก่า และงานวิจัยทางอุตสาหกรรม
R12: เคยใช้ในตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ แต่ปัจจุบันไม่มีการใช้งานแล้ว


2.HCFCs (Hydrochlorofluorocarbons)
อยู่ในช่วงเลิกใช้ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดผลกระทบต่อโอโซนจาก CFCs มี ODP ต่ำกว่า CFCs แต่ยังมี GWP ค่อนข้างสูง เริ่มถูกควบคุมอย่างเข้มงวดและกำลังถูกยกเลิกในหลายประเทศ
ตัวอย่างน้ำยาแอร์ :
R22: นิยมใช้ในแอร์บ้านทั่วไป
R123: ใช้ในระบบทำความเย็นในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่


3.HFCs (Hydrofluorocarbons)
ใช้แพร่หลายแต่ GWP สูง ไม่มีคลอรีนในโครงสร้างจึงไม่ทำลายโอโซน (ODP = 0) แต่มี GWP สูง → เร่งภาวะโลกร้อนหากรั่วไหล
ตัวอย่างน้ำยาแอร์:
R410A: ใช้ในเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ มีประสิทธิภาพสูง
R134a: นิยมใช้ในรถยนต์ และแอร์ขนาดเล็ก


4.สารทำความเย็นแบบผสม (Blends)
ผสมสารทำความเย็นหลายชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อปรับประสิทธิภาพและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างน้ำยาแอร์:
R407C: ใช้แทน R22 ในเครื่องปรับอากาศที่ออกแบบมาให้เปลี่ยนระบบ
R404A: ใช้ในตู้แช่เย็นเชิงพาณิชย์และระบบทำความเย็นของโรงงานอาหาร


5.สารทำความเย็นธรรมชาติ (Natural Refrigerants)
ทางเลือกอนาคต เป็นสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น CO₂ และแอมโมเนีย ไม่มีผลต่อโอโซน (ODP = 0) และมี GWP ต่ำมากหรือเป็นศูนย์ ต้องควบคุมความปลอดภัยเนื่องจากบางชนิดไวไฟหรือมีพิษ
ตัวอย่างน้ำยาแอร์:
R717 (Ammonia):
ใช้ในโรงงานผลิตอาหาร ห้องเย็น และระบบขนาดใหญ่
R744 (CO₂): ใช้ในตู้แช่สินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และระบบทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


ปัจจุบันน้ำยาแอร์มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละชนิดมีจุดเด่นและข้อควรระวังต่างกันไป ดังนี้
R22 เป็นน้ำยาแอร์รุ่นเก่าที่พบในแอร์บ้านหลายรุ่น ใช้งานง่ายแต่เริ่มลดความนิยมลง เนื่องจากมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
R32 ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะไม่ทำลายชั้นโอโซนและมีผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยกว่า R22
R410A เป็นน้ำยาแอร์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน เหมาะกับแอร์รุ่นใหม่ แต่ต้องระวังเรื่องการติดไฟและการเติมน้ำยา
R600a และ R290 เป็นน้ำยาแอร์ธรรมชาติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเริ่มมีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ


การเติมน้ำยาแอร์
โดยปกติ น้ำยาแอร์จะไม่หมดไปเอง เว้นแต่มีการรั่วซึม หากพบว่าแอร์ไม่เย็นหรือมีลมร้อนออกมา อาจเป็นสัญญาณว่าน้ำยาแอร์รั่ว ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและเติมน้ำยาแอร์ให้ถูกชนิดและปริมาณตามที่ผู้ผลิตกำหนด เพื่อป้องกันปัญหาและยืดอายุการใช้งานของเครื่อง


ข้อควรระวัง

  • ห้ามเติมน้ำยาแอร์ข้ามประเภท
  • เติมน้ำยาในปริมาณที่เหมาะสมตามสเปก
  • เลือกใช้น้ำยาแอร์ที่ได้รับมาตรฐานและปลอดภัย